ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เรื่องเว็บไซต์

๑๓ ก.ย. ๒๕๕๒


เรื่องเว็บไซต์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


กลายเป็นสัตว์ประหลาดเลย ใคร ๆ ก็จะมาดูไง ตั้งแต่เว็บไซต์ออกไป มันมีพวกวัยรุ่น เย็น ๆ น่ะมาเยอะ แล้วส่วนใหญ่นะมันจะเป็นลูกศิษย์ของกรรมฐานเก่า ที่มา ๆ นี่เขาบอกว่าเคยไปถ้ำบูชา เคยอยู่กับครูบาอาจารย์มาหมด แล้วสุดท้ายหลัง ๆ ครูบาอาจารย์เราร่อยหรอไปไง ไม่มีทางไปก็ไปดูจิตกัน พอมาเราก็ยันพุทโธอย่างเดียว

เวลาคิดอย่างนี้แล้ว มันเหมือนกับเราตอนบวชใหม่ ๆ เรามาคิดถึงเราตอนบวชใหม่ ๆ เพราะตอนบวชใหม่ ๆ นั้น ครูบาอาจารย์มันก็ร่อยหรอพอสมควร แต่มันก็ยังพอมีที่พึ่ง เวลาไปไหนมันแบบว่า มันว้าเหว่ พอไปไหนนะมัน ถ้าพูดถึงลงใจ พอเราลงใจใครนะมันจะอบอุ่น พอลงใจใช่ไหม เหมือนกับเรามีพ่อมีแม่ มีผู้ใหญ่คอยดูแลเรา จะทำอะไรเราก็อบอุ่น แล้วถ้าเราไม่มี ดูสิเรามีพ่อแม่อยู่ พ่อแม่จากไปนะ เราจะว้าเหว่มากเลย ทำให้เราไม่อบอุ่นเห็นไหม

มีครูบาอาจารย์ก็เป็นแบบนั้น แล้วพอครูบาอาจารย์ล่วงไป ล่วงไปไง เขาไม่มีที่พึ่ง แล้วครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระผู้ใหญ่กันหลายองค์เห็นไหม แล้วเวลาพูดกันน่ะ จะว่าเราไง ว่าเราไม่เคารพอาวุโส ภันเต ไม่เคารพธรรมวินัย เราเคารพมาก แต่เคารพแล้วมันต้องเป็นตัวอย่างด้วยไง แล้วสุดท้ายแล้ว เห็นสังคมมันเป็นอย่างนี้มาตลอด แล้วก็รู้อยู่

เพียงแต่ตอนนี้พวกเราจะย้อนกลับมาเรื่องเว็บไซต์นิดหนึ่ง พอเว็บไซต์ออกไปแล้ว เราจะพูดกับโยม โยมไม่ต้องตกใจหรอก เราจะบอกว่าที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง เพราะ… เพราะเดี๋ยวนี้สังคมมันแคบ โลกมันแคบ พอโลกมันแคบทำอะไรมันจะรู้ รู้กันไปหมด พอสังคมมันแคบ โลกมันแคบ ใครคุมสื่อ ใครคุมสังคม คนนั้นมันได้ผลประโยชน์ไง เขาไม่คิดเหมือนหลวงตา

หลวงตาเห็นไหม หลวงตาท่านได้มาเท่าไหร่ ท่านก็เสียสละไปกับโลกหมดเลย การเสียสละมันไม่หวังผลประโยชน์ใช่ไหม เวลาพูดนะ พูดไม่หวังผลประโยชน์แต่... แต่เวลาไม่หวังผลประโยชน์ คนมาช่วยกันทำคุณงามความดี เราจะไปตื่นเต้นอะไร โดยสังคมนะ คนเขามาเราช่วยกันทำคุณงามความดีเพื่อสังคมใช่ไหม เราช่วยกันมาโอบอุ้มเด็กเราให้มีการศึกษา เด็กเราให้มันเข้มแข็งขึ้นมา สังคมให้มีอาชีพ สังคมให้มีหน้าที่การงานขึ้นมา สังคมก็จะร่มเย็นเป็นสุข

ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเป็นความจริง ทุกคนถ้ามันเสนอแนวคิดมา เสนอวิธีการปฏิบัติมา เหมือนกับสินค้า ๆ หนึ่ง ช่วยกันเพื่อให้มันหลากหลายเห็นไหม ความเห็นแตกต่างได้ เราอยู่กับความแตกต่างได้ ความแตกต่างนะ ดูสิกรรมฐาน ๔๐ ห้อง แตกต่างกันหมดเลย ๔๐ วิธีการ แต่เป้าหมายคือความสงบเหมือนกันน่ะ นี่ครูบาอาจารย์ท่านเสนอมาแล้ว พุทโธ ๆ ท่าน“พุทธานุสสติ” ท่านวางรากฐานไว้แล้ว

เวลาเราพูดนะ มันเหมือนเราเก็บข้อมูลมาเยอะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเยอะ เวลาหลวงตากับหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านพูดให้เราฟังจริง ๆ ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นท่านรำพัน ท่านรำพันนะ เวลาเรื่องนี้เกิดขึ้น เรื่องแนวทางปฏิบัติเกิดขึ้น ท่านรำพันกับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะพูดให้เราฟัง น้ำตาคลอเลย บอกว่าสังคมไทยเรา สังคมชาวพุทธเรา พุทธานุสสติเป็นพุทธวิสัย เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เอากัน แล้วไปเอาอะไรกัน

พุทโธเป็นพุทธภาษิต เป็นพุทธภาษิต ไม่ใช่สาวกภาษิต เป็นพุทธภาษิต เป็นพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเอง พุทโธ ๆ นี่ แล้วชาวพุทธมันไม่เอากัน มันไปเอาสาวกภาษิต ไปเอาคำสอนของลูกศิษย์ ๆ แล้วบอกพุทโธ ๆ นี่เป็นกรรมฐาน นี่เป็นคำพูดของใคร เป็นคำพูดของหลวงปู่มั่นเองเหรอ เป็นคำพูดของครูบาอาจารย์เราเองเหรอ มันเป็นคำพูด มันเป็นพุทธภาษิตใช่ไหม คำสอนของพระพุทธเจ้ามาตลอด

เวลาหลวงปู่มั่นท่านรำพันเลยนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเหมือนเราพ่อแม่ เราเป็นพ่อเป็นแม่คนเห็นไหม ลูกหลานเรา เราอยากให้ลูกหลานเราไปถึงเป้าหมายไหม เราอยากให้ลูกหลานเราถึงหลักความจริงไหม หลวงปู่มั่นก็พระพุทธเจ้าน้อย ๆในเมืองไทยไง พระพุทธเจ้าต้องฝึกฝนมา ต้องค้นคว้ามา พระพุทธเจ้าต้องต่อสู้มา หลวงปู่มั่นน่ะท่าน..มี หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนเล่าเอง หลวงปู่สีทา หลวงปู่อะไร ที่วัดที่หลวงปู่มั่นไปศึกษาอยู่เหมือนกัน ไปศึกษามาธรรมดาล่ะ

อย่างเราบวชมา อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ต้องศึกษา หลวงปู่มั่นท่านพยายามค้นคว้า พยายามศึกษาของท่านมา แล้วดูสิเหมือนกับพ่อแม่ คนเรากว่าจะประพฤติปฏิบัติมา เราเสียสละมา เราต่อสู้กับกิเลสเรามาขนาดไหน แล้วลูกหลานเรา ลูกศิษย์ของเราจะเติบโตมา ท่านจะห่วงหาอาทร ท่านพยายามจะชี้นำ ท่านพยายามจะปกป้องขนาดไหน หลวงปู่มั่นนะ คำพูดคำนี้เราไม่ใช่อวดอุตริ ไม่ใช่อวดเก่งนะ ฟังจำขี้ปากหลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตามา

เวลาไปอยู่กับท่านนะเราจะถาม เราอ่านหนังสือนะอ่านประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ต่าง ๆ อ่านเสร็จแล้วนะจะเก็บข้อมูลไว้ในหัว อ่านเรื่องทางวิชาการ เวลาเราเจอหลวงปู่เจี๊ยะถามหมด เวลาพญานาคที่มันลงมาจากกุฏิ ที่หลวงปู่มั่นบอกให้ทำรอยไว้ หลวงปู่อยู่ไหม บอกอยู่ เห็นรอยไหม เห็น เห็นแล้วเป็นอย่างไร ท่านบอกเป็นอย่างไร หลวงตา ขณะที่หลวงตามาเขียนในประวัติหลวงปู่มั่น เป็นยังนั้น ๆ อยู่ด้วยไหม

เช่น ที่หลวงตาท่านเล่าเห็นไหม เช่นบอกว่าท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านไม่ยอมเชื่อเรื่องผีสางนะ ไม่เชื่อ แล้วท่านไปพักที่ไหนเห็นไหม ที่แบบว่ามันเป็นพญานาคมาร้อง ฮู่ ฮู่ บนหัว จนอาจารย์สิงห์ทองกลับมาหาหมออวยเห็นไหม ใครไม่เชื่อผีให้ไปลอง ใครไม่เชื่อ คนไม่เชื่อเรื่องผีนะ ไม่เชื่อ ๆ หลวงปู่อาจารย์สิงห์ทองเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรเลย ไม่เชื่ออะไรเลยนะ ไปเจอกับตัวเองเข้า ไปเจอกับตัวเองเข้า ถ้าใครไม่เชื่อป่ะไปลองดูไป ไปลองดูว่าผีมันจะมีไหม เพราะโดนทั้งคืนเลย โดนซึ่ง ๆ หน้าเห็นไหม สิ่งที่ประสบการณ์กันมา เวลามีอะไรเราก็ถาม ไปอยู่กับใครเราก็ถาม ๆ แล้วเรื่องนี้มันก็ฝังใจมา มันเป็นความฝังใจนะ พวกเราศึกษามา ฝังใจเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าเราไปเผชิญกับสัจจะความจริง ประสบการณ์ของเราอีกเรื่องหนึ่งนะ ประสบการณ์ของเราเราทำอะไรผิด อะไรมันถูก ถ้าเราทำอะไรผิดพลาดขึ้นไปเราจะเสียใจมาก สิ่งถ้ายิ่งผิดพลาดมากยิ่งเสียใจมากขึ้น แล้วถ้าเราทำให้คนอื่นผิดพลาด มันจะเสียใจขนาดไหน แล้วพอมาถึงปฏิบัติ เวลาเขาพูดถึงนะ สมมุตินะ ไม่สมมุติหรอกความจริงเลย สมมุติว่าถ้าเราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดพุทโธมาแล้ว อย่างไรเราพูดไม่ถึง เราจะไม่พูดถึงพุทโธ เราจะไม่เข้าไปแตะถึงพุทโธเลย เราจะเชิดพุทโธไว้เลย ทั้งที่เราพุทโธไม่ได้ เราก็จะเชิดชูไว้เลย เพราะพุทโธเป็นพุทธานุสสติ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาเหยียบย่ำกันอย่างนี้ มันเหมือนกันไหม เราพูดบ่อยเห็นไหม อยากดังต้องตีคนดัง ถ้าเราอยากดัง คนไหนดังด่ามันเดี๋ยวมึงดังด้วย ดังก็ติดคุกก็ได้

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นความน่าเชื่อถือของสังคมไทยใช่ไหม สังคมไทยก็ปฏิบัติพุทโธกันมานานใช่ไหม อานาปานสติก็ปฏิบัติกันมานาน พอถึงเวลาแล้วบอกว่าให้หยุด ให้เลิกให้หมดเลย ให้เลิกให้หมดเลย ไม่พูดตรง ๆ ก็พูดอ้อม ๆ เดี๋ยวก็พูดอ้อม ๆ เดี๋ยวก็พูดตรง ๆ เวลาพูดนะ โน้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ สุดท้ายนะถ้าใครทำพุทโธก็แล้วแต่เถอะ ทำได้ พอทำได้ แต่พอพูดมา ตีหัวก่อน ตีหัวเข้าบ้านก่อนนะ พุทโธนี้ไม่ดี ใครทำพุทโธมันเสียทั้งชีวิตมาแล้ว ถ้าพุทโธทั้งชีวิต สังคมไทยหลงกันมาเยอะแล้ว นี่พูดตีหัวเข้าบ้านก่อนนะ

สุดท้ายพอสรุปนะ แล้วถ้าการปฏิบัติมันหลายหลากไปทำอะไรก็ได้ มันส่อถึงเจตนาไง พอมันส่อถึงเจตนาปั๊บ แล้วพวกเรานี่ ใครจะพูดทุกคนว่าอาจารย์องค์ไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีชื่อเสียงไม่เป็นความจริง ไม่ใช่ไม่มีชื่อเสียง ถ้าไม่มีความจริง ญาติโยมจะไม่เข้าไปศรัทธามากขนาดนั้น เห็นแต่ว่าคนเยอะไง คำว่าคนเยอะนี่นะมันจัดตั้งได้ ความจัดตั้ง โทษนะ เราไม่ใช่ดูถูกใครนะ แล้ววุฒิภาวะอย่างพวกโยมนะ หลอกง่าย ๆ เอาอีเว้นท์มาจัดฉากหน่อยเดียวนะ ฮือฮาหมดเลย เราหายตัวได้วันนี้นะ พรุ่งนี้วัดนี้คนล้นวัดเลยนะ เราจะหายตัวให้ดู โอ้โฮ พรุ่งนี้คนล้นวัดเลย มันเล่นกลได้ แล้วพอคนมาเยอะมันเกี่ยวกับคนอะไร

เราจะบอกว่าวุฒิภาวะของโยม ของโลกนะ มันจัดฉากได้ มันทำได้ เราอย่ามาคิดเลยว่าคนมากแล้วมันจะถูก อย่าคิด เราไม่เคยคิดเลยว่าคนมากหรือคนน้อยถูกเลยนะ เราคิดว่าข้อมูลที่เราฟังมา สิ่งที่เราทำมา เราเอามากรองของเราสิ เราต้องมีปัญญาสิ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อทุก ๆ อย่างเห็นไหม นี้พอไม่ให้เชื่อ เวลาพูดไป มันเป็นการที่ว่าพยายามเข้ามาอ้างอิงเห็นไหม เข้ามาอ้างอิงว่านี่กรรมฐานอย่างนี้ การปฏิบัติพระป่ง พระป่าก็ว่ากันไปเรื่อย สุดท้ายแล้วพฤติกรรมมันไม่มี ทุกอย่างไม่มี แล้วมันก็ซึมเข้ามาเรื่อย ๆ พอซึมเข้ามาเรื่อย ๆ เราถึงออกเว็บไซต์ไป

เว็บไซต์เรา เราคิดว่าจะออกนานแล้ว เราคิดมาแต่ต้นแล้ว เราคิดมาตั้งแต่เรามาอยู่โพธารามแล้ว ว่าต่อไปนี่เราพูดกับลูกศิษย์อยู่ เขาบอกว่าหลวงพ่อนี่นะมาอยู่ที่โพธาราม ไม่ใช้ศักยภาพเลย ศักยภาพนี่มีพระ ๒ องค์ ๓ องค์ ก็อยู่คน สองคน ศักยภาพหลวงพ่อมากมายแต่ไม่ใช้เลย เราบอกว่าเดี๋ยวถึงเวลาเอง แล้วเราบอกเพราะเวลาถ้ามันพูดออกเว็บไซต์ไปแล้ว มันไปรอบโลก แล้วมันก็อาศัยเห็นไหม ใครจะเปิดเว็บไซต์ใครก็เปิดได้ เว็บไซต์ก็ไปจดทะเบียนก็เปิดได้ทั้งนั้นน่ะ หมามันก็เปิดได้ แต่เปิดมาแล้วหมามันจะฟังไหม เว็บไซต์หมาก็เปิดได้ มึงไปจดทะเบียน ๕๐๐ บาทก็เปิดแล้ว เว็บไซต์มันจะมีอะไร

แต่เนื้อหาสาระสิ เนื้อหาสาระที่มันจะออกไป เนื้อหาสาระที่มันจะเป็นจริง แล้วภาษาเราเห็นไหม เราเทศน์อัดเทปมา ๒๐-๓๐ ปี ๒๐-๓๐ ปีนะเงียบกริบเลย ศักยภาพไม่เคยใช้ ไม่เคยใช้เลย แต่เดี๋ยวมันออกมา มันออกมาเพื่อเป็นประโยชน์ ฉะนั้นเราจะบอกว่าเวลามันออกมาแล้ว มันไม่ใช่จะไปติเตียนใคร ไปว่าใคร ไม่ใช่ ๆ มันเป็นยุคเป็นคราวที่เราต้องจรรโลงไง จรรโลงเห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าศาสนานี่เห็นไหม หลวงตาท่านพูดประจำ ว่าศาสนาของเรามีมรรคมีผลนะ ศาสนาของเรามีเหตุมีผลนะ แต่มันไม่มีใครบอกชี้เหตุชี้ผล พอไม่มีใครชี้เหตุชี้ผล พวกเราก็คลอนแคลนไง ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ที่เราคลอนแคลนกัน เราไม่มั่นคงกันเพราะอะไร เพราะมันจับจดกันทุกคนไง ทุกคนก็จับจด ทุกคนก็หลักลอย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอไม่เป็นชิ้นเป็นอันนี่ เวลาหลวงตาเห็นไหม เขาฟังเทศน์หลวงตากัน หลวงตาเทศน์แล้วมันมีเหตุมีผล เทศน์แล้วมันน่าฟัง เทศน์แล้วมันให้กำลังใจ มันให้กำลังใจ ให้มันความฮึกเหิมที่เราจะประพฤติปฏิบัติใช่ไหม นี่ไงมันเป็นยุคเป็นคราวของหลวงตาที่ท่านถึงคราว

เราก็เฉยอยู่ไง มันไม่ใช่หน้าที่ อย่างในบ้านเรานี่ ในตระกูลของเรานี่ ถ้ามีอะไรมากระทบกระเทือนกับเรา เราต้องบอกใคร เราก็ต้องบอกผู้ใหญ่ของเราก่อนใช่ไหม ว่าผู้ใหญ่ของเราจะทำอย่างไร เฟืองตัวใหญ่มันจะหมุนก่อนใช่ไหม ไอ้เฟืองตัวเล็กไม่ควรจะหมุนไป แล้วนี่มันก็ถึงกาลเวลา ไอ้ที่ทำนี่มัน... เราดูเวลาแล้วนี่ว่ามันเหมาะสมไง มันเหมาะสมเราถึงเริ่มจะจดทะเบียน แล้วเราจะทำเว็บไซต์ออกไปไง แล้วพอออกไปพอดีจังหวะ ตอนนี้เรื่องนี้กำลังเป็นที่ฮ็อตอยู่ มันก็เลยหาว่าเราจะไปจัดการเรื่องนี้ไง ไม่ใช่จัดการเรื่องนี้หรอก มันจะมีอย่างนี้ มีอย่างนี้ มีอย่างนี้ ๆ เรื่อย ๆ ไป

มันมีคนฉ้อฉลอยู่ มันมีสิบแปดมงกุฎจะมาบวชในศาสนานี้อีกเยอะแยะไป แล้วเหตุการณ์อย่างนี้มันเกิดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งสมัยพุทธกาลก็มี สมัยอยุธยา สมัยสุโขทัย มีมาทั้งนั้นเลย แล้วในสมัยปัจจุบันนี้มันก็มี แล้วอนาคตมันก็จะมีไป แต่มันถึงว่าเราจะทำอย่างไร เพื่อเป็นกำลังใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นกำลังใจของสัตว์โลกนะ นี่เราพูดนี่ยืนยันตรงนี้ไง ยืนยันตรงนี้ที่เราทำ เราทำโดยเนื้อหาสาระ มันไม่ใช่ลำเอียง ไม่ใช่ลำเอียงเพราะใครทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องของสัจธรรม มันเป็นเรื่องของศาสนาเรามีเหตุมีผล เป็นการยืนยันว่าประพฤติปฏิบัติธรรม คุณธรรมมันมีจริง มันทำจริงแล้ว แล้วมันทำจริง คนทำจริงเห็นไหม

ดูสิ ไม้หลักมันปักแน่นหนามั่นคงนะ ธรรมะที่มันออกมาจากใจ ธรรมะที่ออกมาจากศาสนานี่ มันต้องสัจจะ มันต้องเป็นความจริงเห็นไหม มันเป็นความจริงของมัน มันเพียงแต่พวกเรานี่อ่อนแอ พวกเรานี้ไม่มีความจริง ถ้ามีความจริง พุทโธ ๆ นี่ย้ำเข้าไปสิ ย้ำเข้าไป ๆ เราไม่ได้เอาพุทโธนี่ เราไม่ได้เอาพุทโธ พุทโธนี่เป็นพุทธะ เป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเรา เราต้องการหัวใจของเรา เราต้องการพุทโธที่เป็นเนื้อหาสาระ พุทโธที่เป็นความจริง พุทธะคือความรู้สึก พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ผู้ชุ่มชื่นในใจ ผู้ที่ชุ่มชื่นในใจแล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ถ้าเราไม่มีช่องทางเข้าไปหาสิ่งนั้นนะ นี่พุทธานุสสตินี่คำบริกรรมนะ พุทโธ ๆ นี้ทำไปเถอะ

นี่มันมองกันคนละโลก มองไม่ออกไง บอกมันพุทโธ พุทโธ พุทโธ่เลย มันทั้งเหยียดหยาม ทั้งถากถาง ทั้งอะไร นี่มันทำ นี่ไงต่อไปคนปฏิบัติกล้าปฏิบัติไหม คนปฏิบัตินี่เป็นคนไม่เต็มเต็ง คนปฏิบัตินี่เป็นคนที่บกพร่อง เป็นคนที่สติไม่สมบูรณ์แล้วน่ะพวกที่มาปฏิบัตินี่ มันคิดกันอย่างนั้นไง เพราะมันทำไม่จริง ถ้ามันทำจริงขึ้นมา อ้าวจะพุทโธจะทำไม อ้าว.. ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อ้าว... พระพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ ปู่ย่าตายายก็นับถือกันมา เราก็นับถือ มันจะเป็นไรไป ศาสดาของเราน่ะ ใครมันจะฉลาด ใครมันจะจรวดดาวเทียมก็ให้มันไปของมันสิ

ถ้าพูดถึงเขาจะมีทางลัด มีทางสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ของเขา เขาก็ไม่ควรจะมากระทบกระเทือนพูดจาเป็นเหน็บแหนมกัน พูดจาเหน็บแหนม พูดจาเสียดสีให้คนที่ประพฤติปฏิบัติคลอนแคลนไง ไอ้คนที่จะพุทโธนะ ต่อไปก็พุทโธก็ อู๊ย พุทโธทีก็สะดุ้งทีนะ พุทโธทีก็กลัวเขาจะติเตียนไง เขาจะว่าไอ้พวกนี้เป็นพวกครึ พวกล้าสมัยไง ไอ้พวกจรวดดาวเทียมมันได้อะไรล่ะ มันทำไม่จริง ถ้ามันทำจริงของเรานี่

ทีนี้คำว่าเว็บไซต์ของเราที่เราออก เราตั้งใจออก ตั้งใจออกเพื่อสังคม ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่นี้พอเหตุการณ์อย่างนั้นมันเกิดขึ้นมา เราก็พูดตามข้อเท็จจริงเท่านั้นเอง ลมพัดมาเราบอกลมเย็นน่ะ มันผิดตรงไหน แดดออกก็แดดร้อน มันผิดตรงไหน อ้าวมันก็เขาบอกแล้ว ปฏิบัตินี่นะ ถ้าปฏิบัติดี ๆ แล้วแดดก็จะเย็น ลมพัดมามันก็จะไม่มีความรู้สึก ว่าไปนู้นน่ะ เวลาเราพูดออกมาไม่เป็นความจริง เถียงไม่ขึ้นเพราะอะไร

เพราะอยากจะอวด อยากจะพูดสิ่งที่มันเหนือโลก อยากจะพูดสิ่งที่ว่า ใครทำแล้วมันจะมีสิ่งมหัศจรรย์ พอถึงความมหัศจรรย์นั่นแล้วพอพิสูจน์ไม่ได้ อ้าว..ก็ตัวเองพูดเอง ตัวเองขุดหลุมฝังตัวเอง แล้วโทษใคร ก็เขาขุดหลุมเอง แล้วเขาก็ฝังตัวเขาเอง แล้วเราบอกมึงฝังตัวเองจมอยู่ในหลุม นิพพานโว้ย ในหลุมนี่คือนิพพาน นิพพานอย่างนี้ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน อ้าวนิพพานของมึงก็นิพพานของมึงไปสิ แล้วมึงจะพาคนอื่นไปลงไปนิพพานอย่างนี้ได้อย่างไร นิพพานมันก็ต้องมีการกระทำของเราขึ้นมา

นี่พูดถึงจุดยืนเป็นอย่างนี้นะ แล้วสิ่งที่ทำก็ทำเพื่อประโยชน์ แต่นี้คำว่าทำประโยชน์นี่มันก็ย้อนกลับมาพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ พราหมณ์นิมนต์ไปจำพรรษา ลืมใส่บาตรเห็นไหม เวลาคราวทุกข์ยาก ข้าวยากหมากแพง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังมีการกระทบกระเทือนขนาดนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดนะบอกว่า ถ้าใครโดนโลกธรรมกระทบกระเทือนอย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ ให้ดูเราตถาคตเป็นแบบอย่าง เราตถาคตเป็นศาสดานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มีเดชนะ แต่โดนโลกธรรมกระทบแรงที่สุด

เพราะในสมัยพุทธกาลมันมีศาสนาเก่า ๆ แน่นอยู่แล้วในสังคม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ไปนี่ มันไปกระทบกระเทือนเขา กระทบกระเทือนในผลประโยชน์ไง แล้วเวลาคนเขาทดสอบแล้วนี่ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมันเป็นความจริง เขาก็นับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาอื่นน่ะมีนะในพระไตรปิฎก ไปอ่านเยอะมาก เขามีกันนะ ขนาดว่าเขาหลอกพระนะ เขาเอาไม้นี่ นิมนต์พระไปฉัน แล้วก็บนรองนี่เป็นฐานส้วม หลุมส้วม แล้วเอาพระไปฉัน ถึงเวลาแล้วนะไม้มันหักลง ในพระไตรปิฎกมีนะ ในลัทธิต่าง ๆ เขากลั่นแกล้งนี่เยอะมาก นี่กลั่นแกล้งพระ พระพุทธเจ้าก็โดน โดนมาทั้งนั้นน่ะ

แล้วนี่พูดถึงถ้าเราทำเพื่อประโยชน์ ทำเพื่อความจริง ไอ้เรื่องที่โดนโลกธรรมมันเป็นเรื่องธรรมดา ไอ้เรื่องโลกธรรมนี่เราบอกอยู่แล้ว คนที่ทำงานอยู่กับเราบอกว่าจะโดน แล้วโดนแรงมาก โดนแรงมากเพราะอะไร อ้าว เพราะเขาสร้างกระแสขึ้นมาได้แล้วนี่ กระแสมันเป็นแล้ว แล้วเราไปบอกว่าสิ่งนั้นผิด ใครเขาจะยอมปล่อย แต่ไอ้เรื่องนี้มันเรื่องของเขา เราไม่ได้ไปทำ ถ้านี่คิดเรื่องโลกไง แต่ถ้าคิดเรื่องธรรมเราไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เราพูดความจริง เราพูดความจริงให้ความจริงเกิดขึ้น

ฉะนั้นสิ่งนี้ถ้าทำไปตามกำลังของเรา แล้วเรามีจุดยืนของเรา อย่าให้คนอื่นมา เราพูดนะเวลาเวลาเขาบอกนะพวกเรานี่โง่ คนข้างนอกเขามองว่า คนมีคุณธรรม มีศีลธรรมนี่เป็นคนโง่นะ เป็นคนซื่อ เป็นคนที่ไม่ทันโลก แล้วเขาก็มองพวกเราว่าโง่ แล้วเขาสำคัญตนว่าพวกเขาฉลาด แล้วคนฉลาดนี่เว็บไซต์เราออกไป เขาจะบอกว่าเว็บไซต์เราไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ แปลกนะ เราต้องถามว่า เฮ่ยเอ็งได้ฟังเนื้อหาสาระในเว็บไซต์หรือยังวะ เอ็งลองฟังสักหน่อยก่อนสิ แล้วเอ็งว่าโง่ฉลาด แล้วค่อยมาพูดกันนะ

เราว่ามันก็มีเนื้อหาสาระนะ แต่เขาไม่ได้ฟังนะ เขาหาว่าคนเป็นคนพาลไปก่อนเลย เอ๊ะ คนฉลาดทำไมเขาตัดสินกันอย่างนั้น ไอ้พวกเราคนโง่นี่สิ เห็นไหม เราคนโง่แต่เรามีจุดยืนของเรา เรามีสมองของเรา สมองของเราแยกแยะอะไรดีอะไรชั่ว ไอ้คนฉลาด ๆ นะเห็นไหม ที่นี่คนเยอะ ถ้าคนไม่ดีคนจะเยอะได้อย่างไร เอาคนเยอะเป็นเกณฑ์นะ เอาคนเยอะ เอาคนมากเป็นเกณฑ์ คนเยอะมันจะมีอะไร สนามหลวงมันเยอะกว่านี้อีก ประเทศไทยเยอะกว่านี้ แล้วยิ่งเราพูดนะ ก็ “คน”

เวลาหลวงตาท่านพูดน่ะ หัวดำ ๆ เขาหัวดำ ๆ หัวโล้น ๆ น่ะ หัวโล้น ๆ หัวโล้นมันต้องมีวุฒิภาวะเป็นผู้นำเขา หัวโล้น ๆ ยังโง่กว่าเขา มันไม่สมควรหัวโล้น ฉะนั้นเขาหัวดำ ๆ น่ะ มันจะเยอะจะน้อยไม่สำคัญเลย ไม่เกี่ยว นี่พูดถึงเว็บไซต์ พูดไว้ก่อนเลย เดี๋ยวคนโน้นจะโทรมา เดี๋ยวคนนี้จะโทรมา ใครมีเพื่อน เดี๋ยวเพื่อนมันต้องถาม ถ้าเพื่อนมันไม่รู้ว่ามาที่นี่มันไม่ถามหรอก แต่ถ้าเพื่อนมันรู้ว่ามาที่นี่น่ะ มันจะถามเลยนะ เฮ้ย… มึงไปที่นั่นจริง ๆ หรือวะ มึงทำไมโง่ขนาดนี้ว่ะ โอ้ย มึง.. (หัวเราะ)

แต่ไอ้คนฉลาดทำไมมันไม่มีเหตุผล เอ๊ย.. แปลกมากนะ เราก็คิด อื่อ เราดูสังคมนะแล้วมันก็สังเวชน่ะ เหมือนกับปลงธรรมสังเวช เราดูสังคมอยู่ แต่สังคมเขาสำคัญตนนะ สำคัญตนว่าเขามีปัญญา เขาสำคัญตนว่าเขาเป็นปัญญาชนนะ ไอ้พวกเราพวกอยู่ป่าอยู่เขา ไม่มีหัว ไม่มีสิ่งใด ๆ เลย แต่เรามีจุดยืนนะ แล้วเราจะมีความสุข เพราะความสุขสิ่งใดเท่ากับความสงบภายในของเราไม่มี ถ้าเรารักษาความสงบภายในของเราได้ ความสงบภายในหาขึ้นมาให้ได้ แล้วสิ่งที่เป็นไป สิ่งที่เราเสนอออกไป มันก็คืออย่างนี้แหละ

สิ่งที่เราเสนอออกไป คืออยากให้เขาทดสอบ ให้เขาทดสอบนะ คือว่าข้อมูลตรงข้าม ข้อมูลตรงข้ามที่เขาทำอย่างนั้นนะ แล้วถ้าเขาทำข้อมูลที่เราเสนอออกไป เราอยากให้เขาเห็นว่าความสงบที่เกิดขึ้นนะมีไหม เพราะ..เพราะที่เขามาหาเรา ส่วนใหญ่ก็ลูกศิษย์กรรมฐานเรานี่เป็นส่วนใหญ่ แล้วไปดูจิตกัน ว่าง ๆ ว่าง ๆนะ พูดอย่างนี้ทุกคนเลย แล้วพอสุดท้ายนะ ไปสักพักหนึ่งจะพูดอย่างนี้เลย หลวงพ่อว่าง ๆ แต่มันตัน มันไปไหนไม่ได้ มันไปคาอยู่อย่างนั้นนะ ไปไม่รอดหรอก

แต่ถ้าเป็นกรรมฐานนะ เป็นความสงบของเรานะ มันมีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้ายังกำหนดพุทโธไปได้เรื่อย ๆ นะ เดี๋ยวมันจะสักแต่ว่า รวมใหญ่ขึ้นมา สักแต่ว่า แล้วถ้ามันออกใช้ปัญญานะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! โอ้โฮ! ทุกคนจะอุทาน อุทานนะ เพราะพวกเรากลัวผี จิตทุกดวงใจมันเคยเกิดในวัฏฏะ มันเคยผ่านนรก ผ่านสวรรค์มาทุกดวงใจ ดวงใจที่มาเกิดกันอยู่นี่ มันเคยหมุนมันมาในวัฏฏะ เพราะชีวิตนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย

คนจินตนาการเรื่องสวรรค์นี่จินตนาการได้ พวกจิตรกรรมฝาผนังเขาเขียนของเขานี่สวยมาก นรกอเวจีนี่ ตกนรกทองดงทองแดงนี่เขาจินตนาการได้เลย เพราะสิ่งที่จินตนาการได้มันมีข้อมูลในใจ มันมีข้อมูลของมัน มันมีจินตนาการออกมาจากส่วนลึกของใจ แต่ทุกดวงใจจินตนาการผลของโสดาบัน สกิทา อนาคาไม่ได้ ไม่ได้ ฉะนั้นพอไม่ได้ปั๊บ เขาบอกว่านิพพานคือความว่าง ก็เลยว่าง ๆ ว่าง ๆ แบบขี้ลอยน้ำ ว่าง ๆ แบบไม่รู้เรื่อง

แต่ถ้าเป็นความว่างในมรรคผลนะ มันว่างแบบมีเจ้าของ มันว่างแบบมีขอบเขตรับรู้ถึงความว่าง ความว่างระดับไหน สุขกันอย่างไร มีอย่างไร มันรู้โสดาบันว่างได้แค่ไหน สกิทาว่างได้แค่ไหน อนาคาว่างได้แค่ไหน ความว่างลึกซึ้งแตกต่างกันมากเลย แล้วพอถึงที่สุดแล้ว พ้นจากความว่างไปเลย เพราะที่ไหนมีความว่างที่นั่นมีความรู้สึก ถ้ามีความว่างความรู้สึกนั้นคือจิต ความรู้สึกนั้นคือภพ พ้นไปหมดเลย วิมุตติสุขเลย ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ นี่ไงสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงอันหนึ่ง หัวใจอย่างนี้ มันมีประสบการณ์ มันทำของมันขึ้นมา

ที่เราพูดนี่ให้เขามีความแตกต่าง แตกต่างที่เขาทำอยู่ว่าง ๆ แล้วตัน มันตันนะ เพราะว่าเขาพากันมาหาเราเยอะ แล้วส่วนที่เขาจะพามาหาเรา ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะมีเชาว์ปัญญา หมายถึงว่ามีภูมิ มีวุฒิภาวะ แต่เมื่อก่อนมันยังว่าง ๆ มันยังสบายอยู่ ทีแรกเชื่อไง พอเชื่อไป พอนานไป ๆ มันไม่ก้าวหน้า มันตัน เขาใช้คำว่าตันเลย แล้วมาหาเรา เราบอกตัน ตันเพราะอะไร ตันเพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันอย่างนี้แล้ว มันธรรมชาติของขี้ลอยน้ำ ขี้ลอยน้ำ สวะมันลอยไปในน้ำน่ะ มันก็หมุนอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไปไหนไม่รอดหรอก เพราะอะไร

เพราะฝึกสติก็ไม่ต้อง อะไรก็ไม่ต้อง ไม่มีการควบคุม ไม่มีการบริหารจัดการ มันเป็นธรรมชาติของมันไง น้ำเวลามันมากขึ้นมา มันรวมตัวขึ้นมา มันก็ไหลไป มันก็ชะล้างทุกอย่างไป ไปข้างหน้า น้ำมันก็ไหลไปธรรมชาติของมัน ความรู้สึกของคนก็เหมือนกัน มันทุกข์มันยากอะไรของมันน่ะ มาควบคุม มาดูแลมัน มารักษามัน มันก็ธรรมชาติ มันก็ลอยอยู่อย่างนั้นนะ มันไปไหนนะ มันไปไหนนะ นี่ไง มันที่มามันผิดไง พอที่มามันถูกเห็นไหม คนทำดีนี่ทุกข์มากเลย เพราะมันต้องตั้งใจต้องพยายามจงใจ ไอ้คนทำชั่วนะ เขาเผลอหยิบฉวยเอาตามสบายใจ

สติเหมือนกันเราจะฝึกขึ้นมา มันต้องมีความจงใจ มีความตั้งใจ มีความระลึกรู้ มันลำบากไหม ทำดี ทำดีมาทั้งปีทั้งชาติเลย ทำผิดทีเดียวหมดเลย เครดิตนี้เกลี้ยงเลย นี่ก็เหมือนกัน ตั้งสติขึ้นมานี่ กว่าจะตั้งสติขึ้นมา กว่าจะมีความจงใจขึ้นมา กว่าจะทำ นี่ไงที่บอกมันไม่ตันตรงนี้ไง มันไม่ตันที่มันมีสติใช่ไหม พอสติมันควบคุม สติมันจัดการ มันมีการบริหาร มีการจัดการ มันมีการย่อยสลายไปเรื่อย ๆ จิตมันสงบ ย่อยสลาย ละเอียดไป ละเอียดไป ละเอียดไป เห็นไหม มันละเอียดไป หลวงตาจะบอกว่าจิตมันละเอียด ๆ ๆ ๆ ๆ ละเอียดเข้าจนถึงฐานเลย ฐีติจิตเลย โอ๊ะ.. โอ๊ะ.. นี่มันมีการต่อเนื่อง มันพัฒนาการของมันเห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นขี้ลอยน้ำเห็นไหม คิดให้ว่างสิ ควบคุมใจให้ได้ดี ๆ สบาย โอ๊ย สบาย ไอ้พวกพุทโธน่ะโง่นะ มันลำบากมันน่ะ โอ๋..มันตั้งสตินะ มันอดอาหารนะ มันโหย..มันลงทุนลงแรงนะ มันเหนื่อย โอ๊ย เหงื่อไหลไคลย้อยเลย ไอ้พวกเราสบาย ๆ แล้วไปไหนกัน สุดท้ายแล้วถ้ามีวุฒิภาวะ มีสติ จะรู้สึกตัวทุกคน จะรู้สึกตัวทุกคน ถ้าใครยอมรับความจริง ถ้ามีคนยอมรับความจริงจะรู้สึกตัวทุกคน แต่เพราะมันไม่ยอมรับความจริง มันปฏิเสธความจริง เพราะมันไปรักษาเกียรติ รักษาความรู้สึกของตัว แต่มันไปปฏิเสธความจริง ไม่ยอมรับความจริง สบาย ๆ เศร้าใจ…

สิ่งที่เราเสนอไป เราเสนอเหตุนี้ เราไม่ได้เสนอด้วยอารมณ์นะ แต่เวลาพูดนี่มันพูดจากใจ มันก็มีเสียงดังนิดหนึ่ง แต่เราไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ เราพูดด้วยเหตุด้วยผล ถ้าพูดด้วยอารมณ์นี่ เวลาพวกที่เขาว่าง ๆ เขามาหาเรา เวลาเราอธิบายเหตุผลเขาไป ทำไมเขาฟังรู้เรื่องล่ะ เพราะมันมีเหตุผล มันมีเหตุมีผลให้เขาได้ค้นคว้า ให้เขาได้ทดสอบตลอด มีผลของมัน มีเหตุของมัน แล้วมันจะละเอียดของมันขึ้นไป แล้วถ้ามันออกเป็นทางปัญญานะ มันจะมีประโยชน์ของมันมาก เรื่องเว็บไซต์จบ

ถาม : อาการที่จิตตกภวังค์จะแก้ไขอย่างไร เห็นไหม อาการที่จิตตกภวังค์จะแก้ไขอย่างใด มักจะเป็นช่วงที่ภาวนาตอนค่ำ และขอหลวงพ่ออธิบายอาการของภวังค์ด้วยครับ

ตอบ : มีนักปฏิบัติสงสัยกันมากเห็นไหม เวลาปฏิบัติไป เวลาพูดอย่างนี้ปั๊บ ถ้าพูดถึงการฉ้อฉลของเขานะ พอพูดขึ้นมา เห็นไหม เพราะพุทโธไง เพราะพุทโธถึงตกภวังค์ไง นี่พุทโธไม่ดี ถ้ามาดูจิตมันจะไม่ตกภวังค์ ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาสายตรงน่ะ โอ้โฮ.. มันจะวิปัสสนาไปเลยนะ มันจะพ้นทุกข์ไปเลย เพราะพุทโธเห็นไหมมันตกภวังค์ พุทโธมันจะมีนิมิต พุทโธจะเสียหายหมด

แต่ถ้าคนเป็นเห็นไหม การตกภวังค์มันเหมือนเราควบคุมความรู้สึกเราได้ไหม เราคิดต่าง ๆ เราจะควบคุมความคิดเราตลอดเวลาได้ไหม เราจะควบคุมความคิดเราตลอดเวลาไม่ได้เลย เดี๋ยวมันก็คิดได้ลึกซึ้ง เดี๋ยวคิดได้หยาบ เดี๋ยวคิดได้ละเอียด ความคิดมันก็แตกต่างกันไป การภาวนาของคนนี่ ให้สติดีขนาดไหน ให้มั่นคงขนาดไหน เวลามันจะตกภวังค์มันก็ตก

มันเหมือนคนเราอ่อนเพลียมา อย่างเช่นเราภาวนานี้ดีมากเลย จิตเราควบคุมได้หมดเลย แต่วันนี้เราต้องเดินทางไกล หรือเรามีเหตุการณ์ที่เราต้องทำงาน ต้องอ่อนเพลียมาก พอนั่งภาวนา ๆ วูบหายเหมือนกัน มันอาการของจิต มันเป็นไปได้ร้อยแปด ทีนี้พอเป็นได้ร้อยแปด ถ้าคนเป็นเห็นไหม อย่างคนที่เขาเป็นหมอ เขาเข้าใจเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เวลาเขาเป็นอะไรไปเขาก็เข้าใจมัน เขามีเหตุมีผล เขาไม่ตกใจเห็นไหม

นี่เหมือนกันในเมื่อเราภาวนา เรารู้จักของเราแล้ว อ้าว.. วันนี้มันเราเดินทางมาเราเพลีย เราเหนื่อยขึ้นมา ภาวนามันก็วูบ มันก็ธรรมดา เอ้อ..แล้วทำงานเสร็จนะ ถ้าเป็นเราพอเข้าใจปั๊บ อ้าว ก็นอนก่อน นอนพัก ขึ้นมานั่งใหม่มันก็จบเห็นไหม มันเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของจิต จิตมันมีความเป็นไป คำว่าธรรมดานะ เห็นไหมธรรมดาวิมุตติ ก็ธรรมดาตกภวังค์ไง ธรรมดา ธรรมชาติ ก็ธรรมดามันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มันเป็นธรรมดาจริง ๆ เราถึงบอก คำว่าธรรมดาเราอธิบายไว้เยอะ เราอธิบายบอกว่าถ้าธรรมดานี่ เราพูดถึงว่าธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของจิตพัฒนาการของมันจะเป็นอย่างนั้น จิตมันเป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว

ดูอย่างเรานะ พวกเรา เรามีลูกมีหลาน ลูกหลานเราต้องมีการศึกษา เพื่อโตมามีอาชีพ แต่พูดถึงเราเปรียบเทียบให้เห็นไง ลูกหลานเราเราเลี้ยงมา มันต้องโตเป็นธรรมดาใช่ไหม จากเด็กต้องผู้ใหญ่เป็นธรรมดา แล้วผู้ใหญ่ก็ต้องตายเป็นธรรมดา ผู้ใหญ่นี้ต้องหมดอายุขัยเป็นธรรมดา จิตก็เหมือนกัน เวลามันคิดของมันนะ มันต้องปล่อย ปล่อย ปลดเปลื้องเป็นธรรมดา มันก็มีการพักของมันไง ถ้าไม่พักของมันนะ มันตึงตัวนะ เครียดตายเลย จิตของมัน เวลาสุดท้ายแล้วมันจะมีการปล่อยของมัน โดยเป็นเหตุเป็นผล เป็นครั้งเป็นคราวไป นี่มันปล่อย แต่มันไม่ได้ปล่อยด้วยธรรมะไง มันปล่อยด้วยวิวัฒนาการของมัน มันเป็นอย่างนั้นไง

พระพุทธเจ้านะ เวลาศึกษาธรรมขึ้นมาแล้ว เวลามาประพฤติปฏิบัติน่ะ ไอ้เรื่องการตกภวังค์ นี้การตกภวังค์นี่มันเหมือนกับ ถ้ามันเป็นธรรมชาติเป็นพัฒนาการของมันใช่ไหม แต่เราจะต้องการให้มันละเอียดกว่านี้ การตกภวังค์กับลงสมาธิมันต่างกัน “การตกภวังค์นี่มันวูบหายไปโดยไม่มีสติ” แต่การลงสมาธิ จิตลงสมาธินี่ พุทโธ ๆ ๆ นี่มันลงตลอดนะ สติมันตามความรู้สึก รู้สึกมันจะละเอียดลงไปขนาดไหน

แล้วมันเป็นคนละแขนงนะ ไม่ใช่คนละแขนง จิตมันคนละจริตน่ะ ถ้าจริตของคนนะ ถ้าพุทโธ ๆ ๆ ถ้าจริตที่มันคึกคะนอง คึกคะนองหมายถึงว่ามันมีกำลังของมัน นิสัยมันชอบความคึกคะนองเห็นไหม เวลาพุทโธ ๆ นี่มันลง วื้ด เราพุทโธไปนะ มันเหมือนกับเราตกจากที่สูง วื้ด ๆ วื้ด ๆ เห็นไหม สติมันพร้อมตลอดเห็นไหม สติมันพร้อมตลอด แล้วเราถ้ามีสติ พุทโธ ๆ มันก็จะลงไปเรื่อย ๆ ลงไปเรื่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะตกใจ มันจะกระตุก มันก็จะขึ้นเห็นไหม

แต่ถ้าเป็นภวังค์นะ เวลาพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเลย เกลี้ยงเลย นี่คือภวังค์ คือมันไม่มีสติเห็นไหม สติมันไม่ทัน พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของกิเลส กิเลสมันจะหลอกเราอีกอย่างหนึ่ง กิเลสหลอกเรา เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ พุทโธ ๆ ไปน่ะมันหยาบ ถ้าพุทโธ ๆ ๆ ๆ จนละเอียดไปจนพุทโธไม่ได้ไง ไอ้เราก็คิดว่าพุทโธ ๆ ๆ แล้วตกภวังค์ไปเลย นึกว่ามันจะเข้าสมาธิไง บางคนเข้าใจผิด เช่น เช่นเรานี่ เราก็เข้าใจผิด ใหม่ ๆ เราก็เข้าใจผิด เราพุทโธ ๆ น่ะหายไปทีหลาย ๆ ชั่วโมง จนกระหยิ่มยิ้มย่องในหัวใจนะ แหม.. ภาวนาเก่งมาก นั่งสมาธิได้ทีหลาย ๆ ชั่วโมง อู๊ย เก่งมาก เก่งทุกวัน

จนมีวันหนึ่งนะออกจากสมาธิมา ไม่ใช่หรอกออกจากภวังค์มา ออกจากสมาธิมา เอ๊ะ มันห่มจีวรไงแล้วนั่งสมาธิ แล้วนั่งอยู่นี่มันก็ไม่มีเมฆไม่มีฝน แล้วมันเปียกอะไร เอาจีวรขึ้นมาดมนะมันน้ำลาย โอ่.. นี่มันน้ำลายมึง เราจับตัวเองได้ว่าตัวเองนั่งหลับ ก่อนหน้านั้น มั่นอกมั่นใจ ก่อนหน้านั้นนะ มีความมั่นอกมั่นใจ มีความยิ้มย่องนะ ว่าตัวเองนั่งสมาธิได้ดี เพราะมันหลง มันไม่เข้าใจเห็นไหม คนเราปฏิบัติน่ะไม่ผิดมาเลยไม่มี เราเป็นกับตัวเอง หายไปที ๓ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง ล็อกเวลาได้

เวลานั่งสมาธิด้วยกันน่ะ บอกว่านั่ง ๘ ชั่วโมง พุทโธ ๆ ไปปั๊บหายเลย ครบ ๘ ชั่วโมงมาสะดุ้งตื่น สะดุ้งขึ้นมาเลย ล็อกเวลาได้ จนนึกยกย่องตัวเองนะตอนนั้น ตอนที่หลง จะบอกว่าตอนที่หลง เป็นมาหมดแล้ว ตอนที่หลงมันยกย่องตัวเองว่า แหม ตัวเองตั้งสัจจะก็ได้ เข้าสมาธิก็ได้ ออกสมาธิก็ได้ กำหนดเวลาก็ได้ อู๊ย เก่งไปหมดเลย มันหลงตัวเอง จนน้ำลายมันมาฟ้อง พอน้ำลายมันมาฟ้อง เอ็งนั่งหลับ พอนั่งหลับปั๊บ…

คนเรานะมันได้สร้างบุญกุศลมาพอสมควร พอรู้อะไรผิดปั๊บมันจะรีบแก้ไข พอจะแก้ไขจะฝืนตรงนี้ โอ้โฮ ทรมานมาก เพราะมันด้าน มันเคยลงไปทีนึง ๗-๘ ชั่วโมง แล้วมันออกได้เอง เข้าได้เอง คิดดูสิ มันด้านขนาดไหน พอมันด้านขนาดไหน ใช้ปัญญานะ ตอนนั้นอยู่ในป่า พออยู่ในป่าก็คิดถึงพระไตรปิฎก คิดถึงพระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะ ตอนที่ง่วงเหงาหาวนอนให้ตรึกในธรรม ก็ตรึก ตรึกในธรรม พอนั่งปั๊บไม่นึกพุทโธแล้ว ตรึกในธรรมเลย

ตรึกในธรรมะ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาตั้ง ตรึก คิดเรื่องธรรมะไง เอาธรรมะมาวิจารณ์ เอาธรรมะมาตั้งเลย สติเป็นอย่างนั้น สมาธิ อู้ย.. ตั้งวิจารณ์นะ วิจารณ์ไปวิจารณ์มา หายเกลี้ยงหลับอีก อย่างไรก็หลับ อย่างไรก็หลับ พอหลับเสร็จแล้วเดินจงกรม ลุกขึ้นมาเดินจงกรม เป็นอะไรถึงหลับ มันเปรียบเทียบ เปรียบเทียบจิตเราเหมือนนกเขา ร่างกายนี่เหมือนกรง พอนกเขามันเห็นแมวมา แมวมันจะมากิน มันจะบิน มันจะหนี นกเขามันก็จะบินมาข้างกรง แมวก็เอาไปกินได้ เราตรึกในธรรม ตรึกเกินไปมันก็เหมือนนกเขาตัวนั้นไง ตรึกจนหายไปเลย ทำอย่างไรก็ไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้

สุดท้ายผ่อนอาหาร ผ่อนอาหารนะ มึงง่วงนอน ไม่กิน วันหนึ่งกินข้าวคำเดียวนะ อยู่ในป่าน่ะ อยู่อีสานน่ะ บิณฑบาตกลับมาแล้ว ปั้นข้าวเหนียวคำหนึ่งนะไว้ก้นบาตร ปั้นให้ได้กินได้คำเดียวน่ะ ข้าวเหนียว เพราะข้าวเหนียวมันครึ่งบาตรใช่ไหม เทออก แล้วก็ปั้นไว้คำเดียวไว้ก้นบาตร แล้วบิณฑบาตมาเขาก็ทำแกงโฮะ เพราะมันอยู่บ้านนอกไม่มีอะไรหรอก ได้ของชาวบ้านอะไรมานะ ก็มีหม้อ ๆหนึ่งเทลง ๆ ๆ แล้วก็ต้มให้มันร้อน ๆ แล้วก็มาตักแจกกัน แล้วก็ตักเอาน้ำนั่นนะหยอดใส่ข้าวเหนียวไว้ แล้วก็ผ่านไป แล้วก็แจกอาหารไป พอพิจารณา พอหัวหน้าฉัน เราก็เอาข้าวเหนียวคำนั้นใส่ปาก จบ ทำอยู่อย่างนี้ ๓ เดือน ๔ เดือน โอ้โฮ เดินไปบิณฑบาตแทบไม่ถึงทางนะ แต่มันไอ้เรื่องตกภวังค์นี่หายหมดเลยนะ เพราะมันหิว มันตกไม่ไหว แก้ได้เห็นไหม เราแก้ของเรามาแล้ว การตกภวังค์

ฉะนั้นเวลาตกภวังค์เป็นอย่างไร ตกภวังค์เราเป็นมาเยอะ แล้วแก้ตกภวังค์ก็แก้มาแล้ว แล้วพอแก้ตรงนั้นแล้วลงสมาธิ เวลาลงอย่างนั้นนะ กำหนดลมหายใจพุทโธนี่ มันเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แล้วมันรวมลงนี่สักแต่ว่า มันปล่อยหมดอย่างนี้ พอมันรวมลงสักแต่ว่านะ นั่งอยู่นี้นะมันรู้สึกตัวชัดเจนมากเลย แต่สิ่งภายนอกไม่รับรู้เลย มันตัดกันเลยไง มันตัดกันเลย จากอายตนะนี่ไม่รับรู้เลย แต่จิตนี้รู้อยู่นะ เห็นไหมเวลาเข้าฌานสมาบัติ นี่ล่ะอะไรต่าง ๆ ใครจะทำอะไร ใครทำร้ายร่างกายอันนี้ไม่ได้เลย เพราะจิตดวงนี้มันรวมใหญ่ มันขาดออกไปจากสังคมโลกหมด มันอยู่ในเอกเทศของตัวมันเอง นี่รวมใหญ่ จิตหนึ่ง ก็บอกไม่มี ไอ้คนไม่เคยทำมันไม่รู้หรอก

เวลามันอัปปนาสมาธิ เวลาเข้าถึงรวมใหญ่เลยนี่เป็นอย่างนี้ เราเป็นอย่างนี้หลายรอบ แล้วเป็นอย่างนี้ปั๊บ อัปปนาสมาธินี่วิปัสสนาไม่ได้ไง พอมันคลายตัวออก คือพอมันซึมซาบออกมา คือความรู้สึกมันแผ่ออกมา พอรู้สึกมันแผ่ออกมาปั๊บมันเริ่มรับรู้ นี่อุปจารสมาธิ เพราะจิตนี่มันสงบอยู่ แต่มันรับรู้ไง คือจิตมันคิดได้ พอจิตมันรับรู้มันคิดได้ มันคิดถึงกาย ถึงเวทนา ถึงจิต ถึงธรรมได้เห็นไหม ตรงนี้แหละเป็นตรงที่วิปัสสนาไง อุปจารสมาธินี่เป็นพื้นฐานของการวิปัสสนา แล้วออกมาเป็นขณิกสมาธิเห็นไหม

แต่ถ้าความคิดโดยสามัญสำนึกของเราเลย มันเป็นความคิดเป็นสามัญสำนึกของปุถุชนไง เป็นสามัญสำนึกของโลกียปัญญาไง มันเป็นปัญญาที่มันมีกิเลสแล้วบวกไง เพราะเราออกมาเป็นสามัญสำนึกแล้วนี่ ความคิดของเรามันมีตัณหาความทะยานอยากใช่ไหม กิเลสมันมีอยู่กับใจเราใช่ไหม เวลาเราคิดเรื่องธรรมะมันก็มีกิเลสเราบวกมาด้วยใช่ไหม มันถึงวิปัสสนาไม่ได้เรื่องไง แต่ถ้าเราเข้าไปทำความสงบมากกว่านั้นน่ะ กิเลสมันสงบตัวลงไง กิเลสมันสงบตัวลงสมาธิมันก็เกิดได้ใช่ไหม สมาธิเกิดได้เพราะกิเลสมันสงบตัวลง พอกิเลสสงบตัวลงเป็นสมาธิเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้นมันเป็นสากล พอเป็นสากลเราออกวิปัสสนา เราออกวิปัสสนาไป มันเป็นวิปัสสนา

วิปัสสนามันเกิดจากอะไร มันเกิดจากจิตดวงนี้ไง นี่ไงธรรมะส่วนบุคคลไง ธรรมะส่วนตัวไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไง ธรรมะของพระสารีบุตร ธรรมะของครูบาอาจารย์ ท่านปรินิพพานไปแล้วก็เอาธรรมะของท่านไปไง นี้มันจะเป็นธรรมะของเรา ธรรมะที่เกิดขึ้นจากจิตของเรา จิตที่มันมีกิเลส แล้วมันพยายามจะต่อสู้กับกิเลสของมัน ให้กิเลสของมันสงบตัวลง เพื่อให้มันมีโอกาสได้แก้ไข ให้มันได้แก้ไข ให้มันได้ดัดแปลง ให้มันได้แก้ไขตัวมันเอง

วิปัสสนานี่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนไว้ ๆ เห็นไหม แต่ให้มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกกับจิตทุก ๆ ดวง จิตทุก ๆ ดวงจะมีของมัน จะมีการกระทำของมัน เป็นธรรมะส่วนบุคคล ถ้าไม่มีขบวนการอย่างนี้มันจะเป็นพระอริยบุคคล มันจะบรรลุธรรมะขึ้นมาได้อย่างไร มันไม่รู้ขบวนการ ไม่มีความจริงขึ้นมา มันจะเป็นธรรมะมาจากไหน ธรรมะมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

เห็นไหม ถ้าตกภวังค์มันจะหายไป ถ้าไม่ตกภวังค์ มันจะเป็นอย่างที่เริ่มจากสงบแล้วออกไปวิปัสสนา มันจะเกิดขึ้นมา ภวังค์มันมีร้อยแปด คำว่าร้อยแปดเพราะอะไร ร้อยแปดเพราะอะไร เพราะอจินไตย ๔ อจินไตย ๔ นี่พุทธวิสัยคือปัญญาพระพุทธเจ้า อย่าคาดหมาย ไม่มีใครคาดหมายได้เลยว่าพระพุทธเจ้าจะฉลาดแค่ไหน สุดยอดแค่ไหน ไม่มีใครสามารถคำนวณปัญญาพระพุทธเจ้าได้เลย พุทธวิสัย พุทธวิสัย

เรื่องโลกเห็นไหม โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอจินไตย ไม่มีการคงที่ โลกนี้มันจะมีของมัน แล้วมันจะเป็นอจินไตย จะเป็นอจินไตย มันจะเปลี่ยนแปลงของมันอยู่อย่างนี้ตลอดไป เป็นอจินไตย มีอยู่แต่มันเปลี่ยนแปลง แล้วเรื่องของกรรม แล้วเรื่องของฌานเห็นไหม เรื่องของฌานคือเรื่องของความว่าง เรื่องของความสงบเห็นไหม มันเป็นอจินไตยเลย ความว่าง ๆ เขาบอกคนโน้นว่าง ๆ ๆ ว่างเป็นอจินไตยนะมึง

เว้นไว้แต่ว่างของโสดาบัน ว่างของสกิทา ว่างของอนาคา ไม่เป็นอจินไตย เป็นการรับรู้ของจิตดวงนั้น เพราะจิตดวง ๆ นั้นเป็นเห็นไหม นี่ธรรมะเหนือโลก “ธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะธรรมชาติคือวัฏฏะ” ทิ่มเข้ากลางหัวอกเลย เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติล็อตโต้เรา ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือวัฏฏะ ทิ่มเข้าหัวอกเลย

การตกภวังค์นี่ มันก็มีตกภวังค์อย่างอ่อน อย่างแก่ อย่างอ่อนหมายถึงว่ามันเพิ่งตกบ้าง อะไรบ้าง มันเพิ่งเริ่มเป็น พอเริ่มเป็น แต่มันเสียอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ ใครตกภวังค์หรือไม่ตกภวังค์ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเห็นไหม นี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน รู้จากตัวเราเอง แต่เพราะเราปฏิบัติใหม่เราไม่รู้นี่มันสำคัญตรงนี้ไง พอนี้ปฏิบัติใหม่มันลงหรือมันเป็นภวังค์เราไม่รู้ พอรู้อีกทีหนึ่งมันก็เป็นแบบว่า เหมือนกับโรค พอรู้อีกทีหนึ่งก็ โอ้โฮ..โรคมันเรื้อรังแล้ว แต่นี้ถ้ามีครูบาอาจารย์ คอยตรวจคอยสอบกันน่ะ ถ้ารู้ใหม่ ๆ เห็นไหม ใครเป็นโรคใหม่ ๆ รักษาจะหาย เห็นไหมหายง่าย ถ้าใครเป็นโรคเรื้อรังรักษาจะหายยาก จิตของคนที่ภาวนาไปนะพอมันด้าน

อย่างเรานี่ จริง ๆ นะตอนนั้นเป็นนะ พรรษา ๑ พรรษา ๒ ไม่รู้ หายที ๗-๘ ชั่วโมงนะ แล้วมัน ล็อกเวลาได้ เพราะว่าภาวนาด้วยกันไง เวลาภาวนาไปป่าทำวัตรแล้วทำภาวนา เสร็จแล้วก็แยกกัน อยู่อย่างนั้นนะ นั่งกี่ชั่วโมงก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้ อะไรได้หมด ใครทำอย่างไรทำได้หมดเลย ออกไปเที่ยวกับใคร ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ขัดแย้งกับใคร แล้วตั้งกติกาขึ้นมาทำได้ทั้งนั้น พระองค์อื่นนะเขายังมีหลบมีหลีกใช่ไหม พอคนเรามันเจ็บมันปวดมันก็หาทางออก มันก็ยังมีหลบหลีก ไอ้เราไม่เลย คิดในใจว่า อื้อ เราทำได้ มันเป็นอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ มันกระหยิ่มยิ้มย่อง อื้อ.. เราก็เก่งคนหนึ่ง คือว่าเราก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราอยู่กับใครเราก็จะไม่ทำให้ใครลำบากใจ อยู่กับใคร ใครทำอะไรเราก็ทำได้กับเขาหมด คือว่าเราไปกับเขาได้ทั้งนั้น ยังคิดว่า อื้อ.. เราก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ว่าไม่ไปขัดแย้งกับใคร

ในการปฏิบัติ ในการที่เราปฏิบัติ แล้วปฏิบัติแล้วมีผู้นำนะ แต่ในปัจจุบันเราไม่ได้ขัดแย้งกับใคร เราไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร เราไม่ต้องการยุ่งกับใคร แต่เราต้องการพูดความจริง เราต้องการความจริง ถ้าคนพูดความจริง ถ้ามันไม่ดีเขาต้องโต้แย้งเราได้ ถ้าเราเป็นคนมีสตินะ เราพูดสิ่งที่ผิดพลาดออกไป ดูสิเขาไม่ถลกหนังเราเหรอ ถ้าเราพูด.. คนเรามีสตินี่นะ

คนเรานะมีสติมีทุกอย่างพร้อมเลย แล้วเราพูดสิ่งที่ผิด ๆ ออกไป เราคิดกันไหมว่าเขาจะย้อนกลับมาหาเรา ถ้าเรามีสติอยู่นะแล้วเหมือนกันที่เราพูดอยู่นี่ เราก็พูดของเรานี่เราก็พูดโดยมีสตินี่แหละ แล้วเราก็ยืนยันด้วย เรายืนยันตลอดเวลา แล้วเราต้องการพบด้วย ที่ไหนก็ได้ อย่างที่พูด กี่ดวง ๆ อยากพบคนนี้มาก คนนี้ภาวนาเป็นนี่ เราจะให้เขาพูดออกมาว่ามันกี่ดวง ดวงอย่างไร มันเป็นไปไม่ได้

อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ปัจยาการเห็นไหม ปัจยาการพระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ปัจยาการน่ะ มันเป็นปัจยาการ ๑๓ แล้วเวลาคนเข้าไปเห็น ใครเคยเข้าไปเห็นบ้าง ใครจะเห็นปัจยาการอย่างนี้ ปัจยาการนี้ใครอยากจะเห็น ใครเคยเห็น แล้วคนเห็นบอกมาที.. กูซักเอง กูซักเอง กูอยากเจอนัก ไม่มีนี่ จำแต่ขี้ปากเขามาโม้ โอ๊ย.. นี่ ๑๐๘ ดวง ก็เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวพฤหัสน่ะ คนละดวงอยู่ กาแลคซี่ไง แล้วในใจมึงล่ะ มันเป็นตำราไง เขาคาดหมายผิด มันเป็นบุคคลาธิษฐาน

มันเหมือนคอนโดมิเนียม ในคอนโดหลังหนึ่งเห็นไหม มันจะมีห้องชุดเยอะแยะไปหมดเลย จิตนี้มันเหมือนคอนโดหลังหนึ่ง ห้องชุดคืออารมณ์ความรู้สึก มันมี ๑๐๘ ไปหมด แล้วอยู่ไหน มึงดึงห้องชุดห้องไหนออกมาเป็นเอกเทศล่ะ เรากำหนดของเรานี่ คอนโดหลังหนึ่งมันเป็นสมบัติสาธารณะใช่ไหม สมบัติส่วนรวม ไม่ใช่สาธารณะ ส่วนรวมเพราะทุกคนมีสิทธิ เพราะทุกคนซื้อห้องชุดกันไว้ ก็อยู่อาศัยร่วมกัน คอนโดหลังหนึ่ง แต่ถ้าเรามีเงินมากใช่ไหม เราซื้อทั้งหลังเป็นของเราคนเดียวเลยเห็นไหม เราเป็นเจ้าของหมดเลย เหมือนกับบ้านพักส่วนตัว อ้าว... จิตหนึ่งแล้วทำไง โฮ้ มันจะแยกขาดจากกันไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกของพวกเรา ความคิดของพวกเรามีกรรมหมดนะ มโนกรรม

หลวงตานะ วิทยุหลวงตานะเห็นไหม “เธอจงอย่าคิดชั่ว ถ้าเธอคิดบ่อย ๆ มันจะย้ำคิดย้ำทำจนเป็นความรู้สึกของเธอ พอย้ำความรู้สึกของเธอ มันจะเป็นนิสัยของเธอ มันจะเป็นสันดานของเธอ” เห็นไหม ย้ำคิดย้ำทำ ความคิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ถ้าความคิดมันเป็นดวงที่แยก ทำไมมันเป็นจริตนิสัยของเธอล่ะ มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากจิตดวงนั้นแหละ มันมาจากจิตปฏิสนธิจิตนั่นแหละ แต่อาการมันออกไปหลากหลาย ความหลากหลายของมัน ความเป็นไปของมันเห็นไหม อันนั้นเป็นไปของมัน

ถ้าคนปฏิบัติ คนปฏิบัติจะรู้ จะรู้ แล้วพระพุทธเจ้าพูดเพื่ออะไร พูดอย่างไร พูดเพราะอะไร เพราะคำพูดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนคนหลากหลาย สอนเทวดา สอนอินทร์ บอกพระพุทธเจ้าสอนเทวดาสอนเรื่องอะไร อภิธรรมนี่ กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา ไปเทศน์ให้แม่ฟัง บนดุสิตเห็นไหม สอนเทวดา สอนอินทร์ สอนพรหม มันก็สอนกระชับ สอนอะไรต่าง ๆ พอสอน.. ไอ้คน.. ยิ่งสอน.. มันจะหลุดไง มันจะบอกว่า มันจะสอนควายไง เวลาสอนควายเขาเอาหญ้ามาล่อไง เอ๊ย นี่หญ้าเขียวอร่อย หญ้าเขียว นี่หญ้าเว่ย อันนี้หวานนะ นั่นสอนใคร

เวลาพูดมันพูดถึงความรู้สึก แต่เขาว่าเราพูดรุนแรง แต่รุนแรงน่ะ ถ้ารุนแรงแล้วมันได้ออกเต็มที่ ถ้ารุนแรงมันจะมีเนื้อหาสาระ มันเป็นนิสัย ถ้าให้นุ่มนวลนะมันก็เล่านิทานกันน่ะ จะเอาหนังสือมาอ่านให้ฟัง เพราะอารมณ์มันพูดไม่ออก ต้องเอาหนังสือมาอ่านให้ฟังนะ ถ้าอย่างนั้นจะนิ่มนวลน่ะ แต่ถ้าจะพูดต้องพูดอย่างนี้

พูดถึงเว็บไซต์ เราจะบอกว่าถ้ามีอะไรแล้ว บอกว่าเรื่องของเรา หลวงพ่อเขาจะทำ ผิดถูกอยู่ที่หลวงพ่อ ผิดถูกเราเป็นคนทำ มันเป็นเวลาไง เวลาของมันมาถึง แล้วเวลาของมันก็ทำเพื่อสังคม ไม่ได้ทำเพื่อใคร เขาจะด่าเขาจะว่าช่างมันเถอะ เพราะไม่ทำเขาก็ด่าอยู่แล้ว แต่เขายังไม่ด่าออกมาเขายังคิดในใจไง พอมีปั๊บด่าออกมาจากปากเลย ธรรมดาเขาด่ากันในใจอยู่แล้ว พอมีเว็บไซต์นี่เขาด่าออกปากเลย ก็ช่างหัวมัน นะ เอวัง